ทำไมต้อง “ธุรกิจเครือข่าย” ประชาชน 95% เปอร์เซ็นต์โดยทั่วไปแล้ว มักจะมองคำว่า เครือข่าย
ในความหมายที่มองตรงข้ามไป อาทิ ขายตรงและแชร์ลูกโซ่
และมโนในทางที่หน้ามือเป็นหลังมือ ก็คือ
เดินเคาะประตูตามบ้าน---ขาย ง้อ ตื้อ
อ้อนวอน---บีบบังคับ ยัดเยียด---ชวนแล้วงอน
เกิดเสียเพื่อน---ครอบครัวแตกแยก
อยากรู้มั้ยว่า ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น มี3ประการ ที่เราจะมาทำความเข้าใจให้หายสงสัยกันดีกว่า
1. คนที่เข้าใจในเครือข่าย มันมี 2ลักษณะ คือ รู้จัก
กับ รู้จริง เป็นยังไง?
คนรู้จัก คือ
รู้ทุกอย่างในตัวองค์กร แผนงานแบบเผินๆ แต่ได้ยินจากประสบการณ์ที่คนอื่นเคยทำ
หรือว่า
รู้แต่รู้ไม่ได้เข้าไปในแก่นแท้ และเห็นลักษณะที่เพียงแค่ภายนอก เท่านั้น
คนรู้จริง
หมายความว่า รู้และเข้าใจ เรียนรู้ วิเคราะห์ จับจุด และมองไปถึงสิ่งที่จับต้องได้
รวมถึง
เบื้องลึกของตัวองค์กร และเข้าใจในสิ่งที่กล่าวมาจาก คนที่ชวน
ผู้เปิดโอกาสก็ดี ทดลองใช้สินค้า ฟังงานในห้องอบรม
เมื่อทั้งหมดได้เข้าใจจนเบ็ดเสร็จแล้ว มั่นใจในตัวสินค้า มั่นใจในคุณภาพการทำงาน
จึงสามารถเตรียมชวนคน เพื่อสอนงาน ทำเนื้องานที่แบบนี้อย่างสม่ำเสมอ
2.คนที่เข้าใจในเครือข่าย แปลความกลับกลายเป็น ขายตรงผิดกฎหมาย
หรือแชร์ลูกโซ่
ต้องกราบเรียนให้ รู้แหล่งที่มา
ของตัวองค์กรกันก่อน ที่จะตัดสินใจคิดและแปลความออกไป เพราะ
ธุรกิจเครือข่ายนั้น จะมีข้อดี
และข้อจำกัดอยู่ แต่ความคิดของคน ทำไมถึงแปลความเช่นนั้น เราจะแยก คำว่า ขายตรง กับ คำว่า แชร์ลูกโซ่
ว่ามีความต่างหรือคล้ายคลึง ยังไง???
ขายตรง ตามความหมายสากล คือ การตลาดแบบตรง
ที่ผู้บริโภคมาจับจ่ายใช้สอย ในการเลือกซื้อสินค้าโดยไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง
หรือโฆษณาในสื่อต่างๆ แต่จะซื้อมาจากโรงงานการผลิตเพื่อลดต้นทุน
และได้รับค่าตอบแทนแบบโดยตรง ซึ่งมีความต่างจาก การตลาดเดิมเป็นอย่างมาก
แชร์ลูกโซ่ คือ
การที่มีบริษัทขึ้นมาบังหน้า และไม่ได้ประกอบการ ไม่ได้จดทะเบียนใบรับรองควบคุมผู้บริโภค
แอบอ้างสินค้าที่โฆษณาเกินจริง ใช้วิธีหว่านล้อมเพื่อหลอกระดมทุน
ทั้งๆที่ต้นทุนการผลิตไม่สูงแต่ตั้งราคาสูงเกิดตามความเป็นจริง และการทำงานของบริษัทนั้นในเมื่อเกิดแชร์ตาย
ไม่มีเงินส่ง และคนอื่นได้รู้จุดอ่อน เจ้าของรู้ตัว จึงรีบขนเงินและเชิดหนีไป
เรียกง่ายๆคือธุรกิจสร้างภาพ
3.คนที่เข้าใจในเครือข่าย
เมื่อคนชวน กับถูกชวนสื่อสาร เรื่องโอกาส หรือโปร์โมชั่นจากเครือข่าย
ส่วนใหญ่จะเกิด คำพูดโต้ตอบกลับเสมอว่า ไม่เอาไม่ชอบ ไม่มีเวลา ไม่ใช่แนว
ไม่เข้าทาง และ ฯลฯ แล้วแต่อารมณ์ หรือสถานการณ์ต่างๆ ผมขอถามกลับว่า
“ คุณคิดว่า มีงานไหน
ที่ดีที่สุดสำหรับคุณ เมื่อในสถานการณ์เศรษฐกิจที่เป็นเช่นนี้”
เอาเข้าจริงๆ ผมไม่ได้ดูถูกว่า งานประจำไม่ดี แต่สิ่งที่กำลังจะกล่าวไว้ว่า
สามารถตอบโจทย์ชีวิต และวางแผนชีวิตถึงอนาคตได้ดีหรือเปล่า หลายๆคนยึดหลักชีวิตแบบเศรษฐกิจพอเพียง
ผมต้องขอถามกลับอีกว่า
“แต่ทำไม เป็นหนี้กันอยู่ล่ะ”
เอาง่ายๆครับ แต่ละวันคุณกำลังเผชิญอะไร ในทุกวันนี้ ค่าบ้าน ค่าผ่อนรถ
ค่าเช่า ค่าหนี้ในและนอกระบบ ค่าโทรศัพท์ ค่าอินเตอร์เน็ต ค่าบัตรเครดิต และอื่นๆ
รวมถึงค่าใช้จ่ายในครัวเรือน ที่คุณปฏิเสธจากความรับผิดชอบตรงนี้ไม่ได้เลย นี่คือ
เหตุผลหนึ่ง ที่ทำให้ ธุรกิจเครือข่าย ได้มีบทบาททางเศรษฐกิจที่วิกฤตเช่นนี้ และ
เป็นการตอบโจทย์ โมเดลชีวิต และ วางเป้าหมายของเราให้ชัดเจน อย่าคาดหวัง และ
ฝากชีวิตมากไป เพราะอาจทำให้ ล้มเลิกได้ ที่สำคัญควรจะลงรายละเอียด
และพร้อมที่จะวางแผนอย่างจริงจัง เมื่อทุกอย่างเข้าใจได้ทั้งหมดแล้ว
โปรดติดตามตอนต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น