วันอังคารที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2559

ไขปรีศนา "งานเครือข่าย" ตอนจบ




          ความเดิมจากตอนที่แล้ว เราได้รู้ความเป็นมา ของคำถามคาใจว่า ทำไมต้องธุรกิจเครือข่าย มาพอสังเขบกันแล้ว คราวนี้ เราจะมาอธิบายขยายความกันว่า ธุรกิจเครือข่าย มีปัจจัยไหนที่เกิดความสำเร็จ และสาเหตุที่ทำให้เกิดไม่กล้าและเกิดล้มเหลว และล้มเลิก อย่างไรได้บ้าง เราจะมาวิเคราะห์กันต่อเลยครับ
    
        สาเหตุที่ทำให้ การทำธุรกิจเครือข่าย ล้มเหลว อาจเป็นเพราะว่า มีสาเหตุบางอย่าง และอุปสรรคเยอะถึงขั้น เลิกโดยปริยาย

    1. สาเหตุเกิดจากความกลัว เพราะอะไร เขาบอกกันว่า คนไม่กล้าเผชิญสิ่งที่หยิบยื่นโอกาส นั่นเป็นเพราะ
        กลัวล้มเหลว กลัวการ เปลี่ยนแปลง และ กลัวสุดท้ายคือ กลัวโดนหลอก อยากจะบอกว่า ผมคนหนึ่งที่ประสบชะตาเดียวกัน ไม่ต่างจากพวกคุณ นอกจากนี้ ยังความกลัวอย่างหนึ่งคือ กลัว ได้ไม่คุ้มเสีย ซึ่งแต่ละบริษัท เราต้องเจาะลึกกันให้แน่วแน่ถึงผลลัพธ์ ตรวจสอบก่อนตัดสินใจลงมือว่า บริษัทนี้มีตัวตนจริงหรือเปล่า

    2. สาเหตุเกิดจากความล้มเหลว และล้มเลิก ปัจจัยหนึ่งคือสภาพแวดล้อม แน่นอนครับ ทางญาติ เพื่อนฝูง ครอบครัว แฟนและคนสนิท ไม่เห็นด้วย เป็นเหตุทำให้เกิด ทำให้สับสนทางความคิด ทำให้เกิดไม่มั่นใจขึ้นมา หรือมีปัญหาเกิดขึ้น เลยล้มเลิก และถอนตัวหนีไป เอาเข้าจริงๆเยอะมากครับ และบนโลกใบนี้ มีโอกาสอื่นนอกเหนือจากเครือข่าย มากพอควร แต่ด้วยธรรมชาติมนุษย์คือ อยากมีอิสระทางการเงิน เวลาและสุขภาพดี อยากลงทุนความสุขให้ครอบครัว จึงต้องหันมาทำงานเครือข่าย ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน

    3. สาเหตุที่เกิดล้มเหลว คือ ความคิดของผู้ถูกชวน จริงๆผมจะขยายความ เรียนแบบนี้ว่า ธุรกิจเครือข่าย ไม่ว่าจาก เพื่อนคุณที่เปิดโอกาสให้คุณ หรือ ผู้ที่มาชวนมาเป็นแนวร่วมในธุรกิจ อยากจะบอกว่า เราต้องดูแผนกับท่าทางคนชวนไปด้วยว่า ไว้วางใจได้ไหม ทำไมถึงกล่าวความแบบนั้น บางคนที่ชวนมาให้ทำ ลักษณะเหมือนกับว่า เราเอาอะไรจากเขาโดยที่ผู้อื่นไม่สมัครใจ หรือ เราไม่เข้าใจในสิ่งนั้น ยกตัวอย่างคือเอาผลงานคนอื่นมาบังหน้า หรือว่า อาจจะพูดติดๆขัดๆ และทำให้ผู้มุ่งหวังไม่ตรงกัน และไปๆมาๆทำไปสักพักไม่ได้ผล จึงต้องเลิก สำหรับคนใหม่ที่จะทำธุรกิจเครือข่ายยังไงให้สำเร็จ คือ ลองศึกษาและเรียนรู้เพื่อให้เข้าใจแบบต่อเนื่องว่า แผนรายได้ที่จัดนำเสนอ หรือคุณอาจจะต้องตรวจสอบชื่อองค์กรและตัวตนของเขาเพื่อให้มั่นใจว่า มีคุณภาพจริงๆ อย่าเพิ่งไปพุ่งที่จะทำอย่างเดียว ถ้าจะขายอย่างเดียวไม่ผิดนะ แต่ต้องใช้สินค้าให้ตัวเองเกิดผลลัพธ์ที่ดีสมบูรณ์ จึงเป็นผลงานตัวเองขึ้น เพื่อความมั่นใจว่า ต่อไปสามารถแนะนำให้คนอื่นได้แบบราบรื่น และคนฟังจะได้เข้าใจกับสิ่งที่นำเสนอจึงเปิดใจกันได้ระดับหนึ่ง

   4. สาเหตุที่เกิดล้มเหลว คือ คนชวนหรือผู้ถูกชวน ทำผลลัพธ์ที่ไม่ได้ดีเท่าที่ควร ลองศึกษาดีๆนะครับว่า คนถูกชวนบางที ลืมคนถูกชวนหรือเปล่า เพราะคนที่ถูกชวนส่วนใหญ่ตั้งใจที่จะสำเร็จกันทั้งนั้น เอาเข้าจริงๆนะถ้าจะเลือกร่วมกับใครแนะนำนะครับ เลือกคนที่ผลงานเยอะด้วยตัวจากคนเปิดโอกาสเอง แบบนี้จะดีที่สุด เพราะ อย่างเอาง่ายๆ แรงบันดาลใจหรือไอดอล ต้นแบบของคนสำเร็จ ท่านเคยถามตัวเองบ้างมั้ยว่า คนนี้มีผลลัพธ์ชัดเจนหรือเปล่า คือคนที่ใช่ในความคิดคุณมั้ย ดูจากลักษณะการพูดว่า เขายัดเยียดคุณหรือเปล่า เป็นการโอ้อวดไปหรือไม่ สายตาของผู้พูดเชื่อถือได้หรือเปล่า บางทีเขาได้ทราบรายละเอียดแล้วแต่ ลึกๆแล้วต้องคิดว่า เขาโอเคสำหรับเรามั้ย ถ้าคิดจะทำให้สำเร็จนะ เลือกแบบอย่างที่ดี ไม่เอาความคิดของถูกชวนเป็นของเล่น และต้องมีความคิดที่ใช่สำหรับ ถนอมความรู้สึกและน้ำใจจากคนถูกชวนด้วยครับ

   5. สาเหตุที่เกิดล้มเหลว มีส่วนสำคัญที่ต้องแก้อย่างมาก คือ ทัศนคติ สำหรับคนที่เริ่มต้น โดยการทำเครือข่ายจริงๆ ขอแนะว่า คุณต้องบริหารชีวิต และจิตใจดีพอมั้ย คุณต้องยอมรับแรงกระแทกจากการปฏิเสธได้ดีแค่ไหน ถ้าจะสำเร็จนะ ไม่จำเป็นต้องเครือข่ายก็ได้ ธุรกิจส่วนตัว ธุรกิจออนไลน์ หรือขนาดเล็กทุกอย่าง ย่อมมีแรงการปฏิเสธแทบทั้งสิ้น เหมือนกับว่า ลูกค้าถูกเสมอ สิ่งสำคัญคือ อย่าโกหกกับเป้าหมายตัวเอง อย่าทำให้โมเมนตัวเองตื่นจนสูงเกินเหตุจำเป็น อย่าโกหกคำพูดของตัวเอง วิสัยทัศน์ ความคิดที่จะเห็นภาพที่จับต้องได้ คุณต้องวิเคราะห์จุดหมายให้แน่วแน่ ที่สำคัญกว่านั้น คุณต้องมองตัวเองในด้านบวก ต้องมีใจอดทน ต้องมีวินัยต่อลูกทีม หรือผู้มุ่งหวังจากตัวเราอีกด้วย หากทำได้ถึงผ่านจุดนั้น คุณจะประสบความสำเร็จจากธุรกิจเครือข่ายนี้ได้ อย่างแน่นอน ถ้าไม่มีความรู้สึกแบบสิ่งนั้น อย่าเริ่มทำเครือข่าย เอางานเสริมตัวอื่นที่ทำโดยสบายใจเถอะ

    ผมเชื่อว่า คำถามที่ค้างคาใจ เป็นผมจะบอกว่า ไม่มีอะไรมั่นคงในชีวิตโดยตลอดกาล แต่ด้วยเศรษฐกิจเป็นแบบนี้ ผมมีความเชื่อว่า Passive income หรือ ภาวะเสือนอนกิน อาจจะมีทางแก้หนึ่งของชีวิตที่ต้องการจะมีงานทำต่อ เพราะเหตุนี้ ธุรกิจเครือข่าย จึงกลายเป็นส่วนหนึ่ง อีกบทบาทหนึ่งของเศรษฐกิจไทย ก็ว่าได้ ไม่ผิดนะที่จะรักงานประจำและเลือกทำไปตลอดชีวิต แต่คุณต้องตั้งเป้าหมายในชีวิตให้มั่นว่า หลังจากนี้ 5-10 ข้างหน้า คุณจะทำอะไร คุณอยากตั้งใจทำอะไรเป็นอย่างสุดท้าย นี่คือสิ่งที่คุณต้องคิดไว้ตั้งแต่ตอนนี้ วินาทีนี้เป็นต้นไป คุณอาจจะเลือกธุรกิจข่ายที่ถูกต้องในการทำเป้าหมาย หรือ อาจจะเทรดหุ้น หรือคุณอาจจะทำธุรกิจออนไลน์ และ SME ก็ได้ แล้วแต่การตัดสินใจของคุณ (ถ้าหากไม่ชอบ ก็เลือกในสิ่งที่ใช่ และเลือกงานตามความสบายใจดีกว่าครับ) เป็นกำลังใจให้ คนที่โดนปรดจากบริษัทก็ดี หรือ คนที่อยากก้าวข้ามขีดจำกัดสิ่งเดิมในแต่ละวันเพื่อรับสิ่งใหม่ในชีวิต อย่ายอมแพ้กับโชคชะตา อย่ายอมแพ้จากคำพูดคนอื่น อย่ายอมแพ้จากการดูถูกดูแคลง ไม่อยากยอมรับสภาพนี้ คุณต้องพยายามสร้างโอกาสให้ตัวเอง อย่ารอให้คนอื่นมาเปิดโอกาสคุณ ผมไม่สนใจว่า คนที่ดูถูกดูแคลงจะเป็นใครมาจากไหน ครอบครัวจะอยากดีมีจนแค่ไหน หรือเก่งจากที่ไหนก็ตาม เราเป็นเราแห่งคุณค่าที่มีพลังบวกขั้นเทพที่ดีที่สุด เท่านี้ก็พอแล้ว แต่อย่าสิ้นหวัง เพราะทัศนคติ ที่ลบตามคำดูถูกดูแคลง ครับ ถ้าหากสร้างบางสิ่งให้สิ่งที่ไม่ดีหายไป ตัดสินใจเริ่มต้นธุรกิจและวิเคราะห์ศึกษาให้ดีที่สุด เลือกงานเสริมที่ใช่เถอะครับ อย่ารีบตัดสินใจลองผิดลองถูก มันเสียเวลาโดยใช่เหตุ และควรฟังคนสำเร็จที่กล่าวขานหรือผู้มีประสบการณ์เยอะ เหมือนดั่งคำคมที่ว่า

“ ตัวอย่างที่ดี มีค่า มากกว่าคำสอน แรงบันดาลใจคือผลักดัน ให้สร้างโอกาสด้วยตัวเรา เท่านั้น”
 หากงานนั้นชอบ ทำแล้วสนุกโดยไม่เบียดเบียนใคร ทำอย่างมีความสุข คุณจะพบประสบความสำเร็จในชีวิตทุกประการอย่างแน่นอน ผมจะรอคุณในเวทีความสำเร็จครับ






       



       


ไขปรีศนา "งานเครือข่าย"





     หลายๆคนคงจะทราบกันแล้วว่า เศรษฐกิจไทย เป็นอย่างไรในขณะนี้ ด้วยสาเหตุปัจจัยหลายๆอย่างที่ทำให้เกิด เศรษฐกิจไทย ย่ำแย่ หนักเข้าไปทุกขณะ ล่าสุดได้ข่าวที่ไม่ต่างจากทุกคนที่ได้รับและ ทำให้เหตุการณ์อันน่าสะพรึงกลัว ก็คือ การถูกปลดของพนักงานจากบริษัทยักษ์ใหญ่นับพันคน ราคาทองลง ดัชนีหุ้นผันผวน วิกฤตฟองสบู่แตก การลงทุนอสังหาริมทรัพย์สั่นคลอน บริการทางการเงินถูกชะงัดขาดช่วงตอน ด้วยเหตุนี้ มีงานประเภทหนึ่งที่เป็นกำลังสำคัญ ในขณะนี้คือ ธุรกิจออนไลน์ ซึ่งมีสถานบันที่มีการเรียนรู้มากมาย เกี่ยวกับ กลยุทธ์การบริการ การตลาดออนไลน์ การหาสินค้า และการขายของให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย โดยการสร้างโฆษณา ซึ่งคนส่วนใหญ่ถนัดส่วนนี้ แต่ในขณะเดียวกัน มีธุรกิจหนึ่งซึ่งทุกคนจ้องจับตามองมากที่สุด อาจจะเป็นเทรนธุรกิจ ที่มีบทบาทสำคัญในอนาคตอันใกล้ คือ “ธุรกิจเครือข่าย” ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น และ ทำไมต้องเป็นธุรกิจเครือข่ายด้วย ทั้งๆที่คนส่วนใหญ่ ไม่ถนัดงานนั้นเลย เท่าที่เก็บข้อมูลจากประสบการพบเจอของคนที่ถูกชวนก็ดี หรือ คนที่เคยทำเครือข่ายพักหนึ่งล้มเลิกไปก็ดี วันนี้มีคำตอบไว้แล้ว เพื่อเป็นการคิดวิเคราะห์ แยกแยะ ปรับทัศนคติในการเริ่มต้นธุรกิจ และเตรียมตัวรับสถานการณ์ที่จะเผชิญต่อจากนี้  

     ทำไมต้อง “ธุรกิจเครือข่าย” ประชาชน 95% เปอร์เซ็นต์โดยทั่วไปแล้ว มักจะมองคำว่า เครือข่าย ในความหมายที่มองตรงข้ามไป อาทิ ขายตรงและแชร์ลูกโซ่ และมโนในทางที่หน้ามือเป็นหลังมือ ก็คือ

         เดินเคาะประตูตามบ้าน---ขาย ง้อ ตื้อ อ้อนวอน---บีบบังคับ ยัดเยียด---ชวนแล้วงอน
         เกิดเสียเพื่อน---ครอบครัวแตกแยก

     อยากรู้มั้ยว่า ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น มี3ประการ ที่เราจะมาทำความเข้าใจให้หายสงสัยกันดีกว่า

 1. คนที่เข้าใจในเครือข่าย มันมี 2ลักษณะ คือ รู้จัก กับ รู้จริง เป็นยังไง?
         คนรู้จัก คือ รู้ทุกอย่างในตัวองค์กร แผนงานแบบเผินๆ แต่ได้ยินจากประสบการณ์ที่คนอื่นเคยทำ
                           หรือว่า รู้แต่รู้ไม่ได้เข้าไปในแก่นแท้ และเห็นลักษณะที่เพียงแค่ภายนอก เท่านั้น
         คนรู้จริง หมายความว่า รู้และเข้าใจ เรียนรู้ วิเคราะห์ จับจุด และมองไปถึงสิ่งที่จับต้องได้ รวมถึง
   เบื้องลึกของตัวองค์กร และเข้าใจในสิ่งที่กล่าวมาจาก คนที่ชวน ผู้เปิดโอกาสก็ดี ทดลองใช้สินค้า ฟังงานในห้องอบรม เมื่อทั้งหมดได้เข้าใจจนเบ็ดเสร็จแล้ว มั่นใจในตัวสินค้า มั่นใจในคุณภาพการทำงาน จึงสามารถเตรียมชวนคน เพื่อสอนงาน ทำเนื้องานที่แบบนี้อย่างสม่ำเสมอ

 2.คนที่เข้าใจในเครือข่าย แปลความกลับกลายเป็น ขายตรงผิดกฎหมาย หรือแชร์ลูกโซ่
         ต้องกราบเรียนให้ รู้แหล่งที่มา ของตัวองค์กรกันก่อน ที่จะตัดสินใจคิดและแปลความออกไป เพราะ
        ธุรกิจเครือข่ายนั้น จะมีข้อดี และข้อจำกัดอยู่ แต่ความคิดของคน ทำไมถึงแปลความเช่นนั้น เราจะแยก    คำว่า ขายตรง กับ คำว่า แชร์ลูกโซ่ ว่ามีความต่างหรือคล้ายคลึง ยังไง???
       ขายตรง ตามความหมายสากล คือ การตลาดแบบตรง ที่ผู้บริโภคมาจับจ่ายใช้สอย ในการเลือกซื้อสินค้าโดยไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง หรือโฆษณาในสื่อต่างๆ แต่จะซื้อมาจากโรงงานการผลิตเพื่อลดต้นทุน และได้รับค่าตอบแทนแบบโดยตรง ซึ่งมีความต่างจาก การตลาดเดิมเป็นอย่างมาก
       แชร์ลูกโซ่ คือ การที่มีบริษัทขึ้นมาบังหน้า และไม่ได้ประกอบการ ไม่ได้จดทะเบียนใบรับรองควบคุมผู้บริโภค แอบอ้างสินค้าที่โฆษณาเกินจริง ใช้วิธีหว่านล้อมเพื่อหลอกระดมทุน ทั้งๆที่ต้นทุนการผลิตไม่สูงแต่ตั้งราคาสูงเกิดตามความเป็นจริง และการทำงานของบริษัทนั้นในเมื่อเกิดแชร์ตาย ไม่มีเงินส่ง และคนอื่นได้รู้จุดอ่อน เจ้าของรู้ตัว จึงรีบขนเงินและเชิดหนีไป เรียกง่ายๆคือธุรกิจสร้างภาพ

3.คนที่เข้าใจในเครือข่าย เมื่อคนชวน กับถูกชวนสื่อสาร เรื่องโอกาส หรือโปร์โมชั่นจากเครือข่าย
     ส่วนใหญ่จะเกิด คำพูดโต้ตอบกลับเสมอว่า ไม่เอาไม่ชอบ ไม่มีเวลา ไม่ใช่แนว ไม่เข้าทาง และ ฯลฯ แล้วแต่อารมณ์ หรือสถานการณ์ต่างๆ ผมขอถามกลับว่า
            “ คุณคิดว่า มีงานไหน ที่ดีที่สุดสำหรับคุณ เมื่อในสถานการณ์เศรษฐกิจที่เป็นเช่นนี้”
      เอาเข้าจริงๆ ผมไม่ได้ดูถูกว่า งานประจำไม่ดี แต่สิ่งที่กำลังจะกล่าวไว้ว่า สามารถตอบโจทย์ชีวิต และวางแผนชีวิตถึงอนาคตได้ดีหรือเปล่า หลายๆคนยึดหลักชีวิตแบบเศรษฐกิจพอเพียง ผมต้องขอถามกลับอีกว่า
            “แต่ทำไม เป็นหนี้กันอยู่ล่ะ”
     เอาง่ายๆครับ แต่ละวันคุณกำลังเผชิญอะไร ในทุกวันนี้ ค่าบ้าน ค่าผ่อนรถ ค่าเช่า ค่าหนี้ในและนอกระบบ ค่าโทรศัพท์ ค่าอินเตอร์เน็ต ค่าบัตรเครดิต และอื่นๆ รวมถึงค่าใช้จ่ายในครัวเรือน ที่คุณปฏิเสธจากความรับผิดชอบตรงนี้ไม่ได้เลย นี่คือ เหตุผลหนึ่ง ที่ทำให้ ธุรกิจเครือข่าย ได้มีบทบาททางเศรษฐกิจที่วิกฤตเช่นนี้ และ เป็นการตอบโจทย์ โมเดลชีวิต และ วางเป้าหมายของเราให้ชัดเจน อย่าคาดหวัง และ ฝากชีวิตมากไป เพราะอาจทำให้ ล้มเลิกได้ ที่สำคัญควรจะลงรายละเอียด และพร้อมที่จะวางแผนอย่างจริงจัง เมื่อทุกอย่างเข้าใจได้ทั้งหมดแล้ว


โปรดติดตามตอนต่อไป

ตนที่ใช่ สำเร็จรุ่ง EP.2 Wording Mouth


   


      เวลาก็ผ่านไป 2เดือน ให้หลัง จากที่ห่างหายไปจาก การทำการเทรนนิ่ง
 ในSeminar Series “ตนที่ใช่ สำเร็จรุ่ง” สิ่งที่จะกล่าวขาน หลังจากนี้ เป็น เดบิว เนื้อหา
ตลอดไปจน โครงการที่จะทำการสอน และมอบให้เป็นหลักวิทยาทาน เพื่อเป็นแนวทาง
ในการสร้างแรงบันดาลใจ นำไปสู่ประสบความสำเร็จ ทั้งความก้าวหน้า ในการงาน
และมั่นคงในหลักการใช้ชีวิต เพื่อสร้างความมั่นคั่งให้คนในครอบครัว และคนที่คุณรัก
ไปจนถึง ส่งต่อ และ บอกต่อคุณค่าตัวตนภายในได้


    “มีอะไรกันบ้าง....???


   อย่างแรกที่ควรต้องรู้คือ

   หลักการรู้จักตนเอง เป็นหลักการรู้จักตนเอง ที่ใช้ในหลักวิทยาทาน ไม่เหมือนกับ การรู้จักตนเอง
โดยทั่วๆไป แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เป็นค้นตัวตนถึง Passion ที่แท้จริง จากตัวคุณซึ่งเป็นจุดบอดในตัวคุณ
หรือ คุณอาจมีข้อจำกัดที่ชะงักคุณไม่ทำให้ไปต่อในชีวิต

   หลักการสร้างสัมพันธ์ เป็นศิลปะการอ่านใจคน ถึงแกนแห่งลักษณะนิสัย ตลอดไปจนกฎแห่งแรงดึงดูด
เพื่อให้คนที่มีคู่ชีวิต หรือยังไม่มี ให้บังเกิดขึ้น ด้วย Mind Set และ ภาษาการสื่อสาร รวมถึงกฎต้องห้าม
อีกด้วย

   หลักวินัย เป็นแหล่งพันธะสัญญา คุณสามารถไปถึงจุดนั้นๆได้ แม้ว่าในความเป็นจริง คุณสำเร็จแค่
ระดับหนึ่งเท่านั้น แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้คือ ปลุกพลัง และ การลงมือทำ
   ปลุกพลัง จะใช้ในด้านพลังจิตใต้สำนึกของตัวตน ให้ส่องประกายเล็งถึงพลังงานที่จะพาตนเอง
ไปสู่จุดหมายที่มุ่งหวังได้
   ส่วนทางด้านการลงมือทำ จะเกิดขึ้นได้ หากคุณต้องโฟกัส คัดเลือกในการลงมือทำ ที่ใช่สำหรับคุณ
ตลอดจนค้นหาวันปักธงที่แน่นอน เพื่อไม่ให้เกิดการลงมือทำนั้นสะดุดลง สามารถทำได้อย่างต่อเนื่อง


  นอกจากนั้น มีหลักวิทยาทาน ในเนื้อหา ที่มอบให้ ช่วยเหลือผู้คนอีกมาก ไม่ว่าจะเป็น


 NLP ย่อมาจาก Neuron Listening Program คือระบบเข้าสู่จิตใต้สำนึก จินตนาการถึงเหตุการณ์
ที่เป็นจุดของความขัดแย้ง เพื่อสร้างจิตใต้สำนึก ที่ค้างคาในหัวใจ ของใครสักคน
เพื่อปลดล็อคชีวิต ออกไปเพื่อสร้างหลายๆสิ่งได้มากขึ้นอีก

Dianatic (ไดอะเนติกซ์) คือศาสตร์การโค้ช อีกมิติหนึ่ง เป็นการสร้างตัวตนใหม่ที่แท้จริง โดยการ
ออดิต เพื่อค้นหา จุดเกิดของเรื่องราว ก่อให้เกิดสะสมความเจ็บปวด แช่แข็งเป็นเวลานาน เล่าเป็นการ
ค้นหาปรมนั้น ไปจนถึงเหตุการณ์ก่อนหน้า และเข้าไปสู่เบสิก เบสิก จุดแรกสุดเพื่อสลาย ปรมไปสู่
คลังจิตวิเคราะห์


  ยังมีความรู้หนึ่งซึ่ง ทำกลั่นกรอง และสรุปความอย่างชัดเจน คือ

 Sale Talk Miracle คือการขายสินค้า ด้วยคุณค่าภายใน ชื่อย่อ (STM) คือไม่มีในการ
Boost your post and Page แต่เป็นหลักวิทยาทาน ถึงเทคนิคการพูด การนำเสนอ ให้คนเล็งเห็นแล้ว
ซื้อคุณได้ โดยไม่มีความจำเป็นต้องขาย ตามแคทตาล็อค และราคาข้างฉลากเท่านั้น แต่เป็น
การนำเสนอให้เปรียบกับนักเล่าเรื่อง และบ่งบอกถึงผลลัพธ์ของสินค้านั้น ที่คุณใช้เอง

นอกจากนั้น ยังมีหลักการอื่น ที่เป็น Inspiration มาฝากเป็นข้อคิดสอนใจ เพื่อเป็นวิทยาทานเสริม
ในการดำเนินชีวิต อีกด้วย

นี่คือ ทั้งหมด ของการเทรนเนอร์ และ มอบให้ เพื่อสร้างความเข้าใจในสิ่งที่นำเสนอ ออกไป





Facebook Fanpage : CoachJo Piyathep
YouTube Channel: Piya Training



วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2559

ตนที่ใช่ สู่สำเร็จ EP.1 Debut Part2/2

   

     ช่วงที่ไม่มีงาน งานหดหาย ผมจึงตัดสินใจเพิ่มเวลาที่ว่าง ไม่ให้เกิดสูญเปล่าจึงตัดสินใจ
 เข้าสัมมนา เกี่ยวกับเรื่องหลักการใช้ชีวิต และบุคคลที่ประสบความสำเร็จ เขาคิดอย่างไร
 เขามีวิธีการไหนกันแน่ ระหว่างนั้น มีเขียนจดหมายเรื่องของความรักของผม ให้กับ
 รายการคลับฟลายเดย์ โดยมี ดีเจอ้อย และ ดีเจฉ็อด ดำเนินรายการ จากนั้น ก็ตั้งกระทู้ให้กับ
 เว็บหนึ่ง เป็นนักสร้างแรงบันดาลใจ ด้านหลักการใช้ชีวิต คุณป็อบ และ คุณนัท ก็ตั้งเรื่องนั้น
 ชื่อเรื่องว่า ความรัก มันอยู่ที่ หน้าตา หรือ จิตใจ กันแน่ มันดูเลวร้ายนะ แต่จำเป็นต้องเขียนเพื่อ
 ความสบายใจ



   จากนั้นเป็นต้นมา ผมทุ่มเงินทั้งหมด ให้กับสัมมนา นับตั้งแต่นั้น เป็นเวลา 2เดือนกว่า กว่าจะหา
 ตนเองเจอ และหาความชัดเจน ช่วงปลายปี 2558 อยู่ที่ เดือน 10 ผมจังประกาศอำลา ด้วยความสุดท้าย
 เป็นข้อความของบุคคลหนึ่ง ซึ่งมาด่าโพสต์ผมผ่านเฟส ช่วงต้นปี 2558 และทำให้ผมเสียใจมาก ก็เลย
 โพสต์ให้รู้แล้วรู้รอดไป และมีคนให้กำลังใจแค่บางส่วนเท่านั้น วันต่อมา โค้ชสอง ส่งข้อความมาหา
 ตัวผม ไม่รู้ว่า ไปรู้ข่าวจากใครมาก หรือเห็นเอง เขาบอกว่า

    “มีเซอร์ไพร์สพิเศษ มอบให้ ถ้าสนใจ Inbox มาครับ”

   ผมทั้งชื่อ และเบอร์โทร ไปที่หน้าเพจน์นั้นจริงๆ และโทรกลับหาผมทันที ทันใดนั้นมีประโยค
 แว๊บ เข้ามา เป็นบท ทดสอบชีวิต และแล้ว ผมก็รู้สึกว่า “- - มันจะไหวเหรอ ค่ายทรหด แบบนั้น”
 น้ำตาจิไหล มาก ตกเย็น ทีมงาน ของ โค้ชสอง โทรมาให้เตรียมตัว ผมจึงตัดสินใจแพ็คของเสื้อผ้า
 เท่าที่จำเป็น เพราะค่ายทรหดนั้น ใช้ระยะเวลา 3วัน2คืน ในระหว่างนั้น ก็มีบททดสอบ หลายด่าน
 แทบกระดูกจะหัด ก็เป็นได้ ตอนท่องกฎนักรบ โค้ชสอง เคร่งเครียดมาก พอถึงตัวผม โดนจับเรียกมาคุย
 ทั้งแบบ โหด เหี้ยม แต่ทว่า เขาหวังดีเพื่อเรา ได้มีชีวิตที่ดีกว่าเดิม ผมสื่อความว่าอย่างนั้น
 ไปจนถึงวันสุดท้ายของค่ายทรหด ได้ทั้งพลังงาน พลังใจ และมิตรภาพที่มีต่อค่าย ทรหดนั้น เพิ่มขึ้น

  ไปจนถึง เดือนสุดท้ายของปี 2558 ภายหลังจาก จบจากสัมมนา NLP เบื้องต้น ของ
โค้ชวันชัย ประชาเรืองวิทย์ ผมได้ความชัดเจนแล้วว่า ต่อจากนี้ไป จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ในขณะที่
 มีความหวังใหม่เปร่งแสงขึ้น กำลังไปต่อแล้ว ในช่วงก่อนคริสต์มาส น้องชายของผม มาปรากฏ
 ที่ทำงาน มาเยี่ยมเยียน ถึงที่ ผมเกิดรู้สึก o.o ตกใจหนักมาก และถือโอกาสดี
 ที่จะได้เคลียร์กับเขา เหมือนได้โค้ชชิ่งกับเค้าโดยตรง เกี่ยวกับเรื่องที่มาแย่งความรักหมดทั้งครอบครัว
 ทั้งที่ความจริง แค่มาอยู่กับพ่อเท่านั้นเอง ปล่อยให้ผมเข้าใจผิดเป็นเวลานาน
 และในที่สุด ทุกอย่างก็จบ ตัวผมนอนตายตากลับสบาย ตื่นมา ได้พบกับวันที่สดใส
 และได้ค้นพบ ตัวตนด้านใน Mirror Value อย่างแท้จริง เป้าหมายชัดเจนขึ้นแล้วคือ
 การเป็นโค้ช หรือ Coaching นี่เอง

   ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น จะมีคนดูถูกดูแคลนมากก็ตาม หรือไม่มีแม้กระทั่งคนสนใจคุณ
 ผมมีความเชื่อว่า สักวันหนึ่งจะได้เห็นคุณงามความดีของตัวผม อีกสักครั้ง ความสำเร็จที่เกิดขึ้น
 อาจมีเงื่อนไขมากก็ตาม ผมทะยายขึ้นไป ให้เท่ากับ พลังงานความเร็วแสง ด้วย
 บทพิสูจน์ของหัวใจ ให้คนที่ดูถูกหรือเคยต่อต้านเราว่า
   “….ฉันทำได้”
  “…..ฉันสามารถ”
  “ฉันสามารถส่งคุณค่าที่ได้ผลลัพธ์นั้นแล้ว บอกต่อกับคนอื่นโดยการโค้ชได้!!!!

 ฟังดู มัน ใหญ่ มาก แต่ผมจริงจังกับนั้น และ ท่องกับตนเองในปลายทางนั้น ทุกวัน………


 





 


ตนที่ใช่ สู่สำเร็จ EP.1 Debut Part1/2




ผม โจ เป็น Mirror Value Inspiration นักสร้างแรงบันดาลใจ ในเรื่อง คุณค่าของตัวตนภายใน
 เกิดวันศุกร์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ.2532 ราศี สิงห์ ปีนักษัตร มะเส็ง 
อุปนิสัย โดยรวม เป็นคนจริงจัง วิสัยทัศน์กว้าง เข้าใจคนทุกประเภท
จุดเด่นในตัวตน คือ มุ่งมานะ ยิ้มเก่งเมื่อเจอคนที่ดีต่อเรา
จุดแข็งในตัวตน คือ ทุ่มกับเป้าหมายที่ทำ และสร้างคุณค่าเกิดมูลค่าสูงสุด

   ก่อนเป็นโค้ช เคยเป็นนักเต้นมือสมัครเล่นมาก่อน เริ่มแรก ซ้อมเต้นไปงั้นๆ
แต่พอเอาจริง ก็มีคนทึ่งตกตะลึ่งบ้าง แรกๆก็ทึ่ง แต่ระยะหลังก็มีเสียงคนที่มาดูถูกดูแคลน เยอะมาก
ตั้งแต่ตอนทำชีวประวัติตัวผม เอาไปลงยูทูป ในขณะนั้น มีความรู้สึกว่า

 “ทำไมต้องว่าผม ด้วย ผมไปทำอะไรให้คุณหนักอกหนักใจหรือเปล่า”

 ภายหลังจากนั้น ก็มีการเริ่มแข่งเต้น ในเวที S’club star cover dance
ในช่วงวันที่ 4 เมษายน ปี 2554 หลังจากที่เสร็จจากการประกวดนี้เสร็จ เดือนถัดมา
ผมไปประกวดร้องเพลง บนเวทีรอบออดิชั่นหลายรายการ เช่น ทรู เอเอฟซีซั่น8
 เคพีเอ็น21 เดอะสตาร์ปี8 ปี9 โชมิวสิคจากบริษัทอาร์เอส
ประกวดวีเจ จากChannel V Thailand เดอะว้อยด์2
ไทยแลนด์ก็อตซีซั่น4 KeepYour light และ ล่าสุด ซีซั่น5 ซึ่งเป็นเวทีสุดท้าย ถามว่า เข้ารอบมั้ย

  ตอบได้ว่า “ที่พูดมาทั้งหมด ตกรอบทุกเวที ครับ”

แต่มีเวทีที่ แสนประทับใจ และทำเต็มร้อยซ้อมเต็มร้อย แล้ว คือ เวที ไทยแลนด์ก็อตทาเล้นท์ ซีซั่น5
ผมใช้เวลาซ้อมทุกวัน ตอนเย็นจนเกือบ5ทุ่ม ใกล้เที่ยงคืน เล่าเรื่องนั้นไป ก็สะเทือนใจมากขึ้น ทำให้เกิด
ปลุกพลังในตัวตนเรา มากขึ้น จนกระทั่ง ช่วงวันที่ 1 เดือน 5 ปี 2558

   ตัวผมตื่นนอน ตั้งแต่ตอน ตี5 ออกจากบ้าน 6 โมงกว่า ไปถึงอักษระคิงพาวเวอร์ ช่วง 8 โมงเช้า และมีติดสติ๊กเกอร์เบอร์ผู้ประกวด มีการต่อคิว มีเม้าท์ทูเม้าท์ กับผู้เข้าประกวดด้วยกัน เกี่ยวกับประสบการณ์ผม และเวทีการประกวดอื่นๆอีกด้วย ถึงเวลาออดิชั่นจริงๆ เป็นช่วงเวลาเกือบ 5 โมงเย็นครับ ผมมองว่า ผู้เข้าประกวด ส่วนใหญ่แล้ว เป็นทีมทั้งนั้น ถึงเวทีจริง ผมเล่าในทำนองว่า

   “ มีเด็กคนหนึ่ง ซึ่งเกิดมาจาก ต้นตระกูลที่บกพร่องมาตั้งแต่เด็ก คือ พ่อแม่แยกทางกัน ตอนเด็ก
  ทุกข์ทรมาน เลื่อยมาตลอดจน เหตุการณ์ช่วงหนึ่ง ได้เกิดเรื่องกับตัวผม จากคู่กรณีตนหนึ่ง
 เขามาต่อว่าผม ว่า ค้ายา เมายา เท่านั้นไม่พอ แถมมีล้อถึง  ครอบครัวของผมด้วย ไม่เข้าใจว่า
เป็นโรคอะไรกัน ถึงต้องมาล้อเลียน ต่อว่าบั่นทอนจิตใจ ผมด้วย .......... ตลอดจน
ผมเอาลูกบอกไปเฟี้ยงใส่เค้า ต่อหน้าห้องปกครอง ทำให้เกิดอาจารย์ห้องปกครองไม่พอใจ ในตัวผม
โทรเรียกคนที่บ้าน เรียกคนขับรถไปรับผม จนเสียโอกาสการเรียนไป ครึ่งวัน…………..

  พอบอกเล่าเรื่องได้ไม่นาน คณะกรรม กดกากาบาท ติ๊ด....! ติ๊ด....! ติ๊ด.....! ติ๊ด…..! จบ
  สิ่งที่เกิดขึ้น คือ คณะกรรมทั้ง4 คน พูดเป็นเสียงพร้อมกันว่า “ยัง ไม่ผ่าน”
  แค่นั้นล่ะ ทำให้ผม Fell ทันที
  วันถัดมา ก็หันมาเข้าโบถส์เพื่อทบทวน สิ่งเกิดขึ้นในคราวนั้น จากนั้นมาเข้าเดือนหก
 ก็เกิดสิ่งที่เลวร้ายตามมา คือ ที่ทำงานถูกกระทบ ด้วย วิกฤตฟองสบู่แตก ราคาทองลง หุ้นตก
 และทันใดนั้นงานน้อย ไม่มีใครจ้างงานการแสดงให้ผมแล้ว
 ผมรู้สึกเหงา และเครียดด้วย กำลังจะให้เวลากับพ่อ ก่อนที่ไม่มีโอกาส ทันใดนั้น พ่อเห็นผมเข้า
 หนีเลย และเวลาถัดมา อีกสัปดาห์หนึ่ง ผมตัดหัวตนเองให้โล้น เพื่อล้างสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด
 ออกไป 


To be Continue

วันเสาร์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2559

รู้จักตนเองด้วย K.V.Y. System



  มีหลักสูตรหนึ่ง ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อสำหรับคนที่อยากจะรู้จักตนเอง พัฒนาตนเอง และสร้างความชัดเจนในตัวตน ภายใต้แนวคิดศาสตร์การโค้ช ของ โค้ชโจ Mirror Value Coach นั่นก็คือ



       ประวัติความเป็นมาของ K.V.Y. System

           K.V.Y. System เกิดจาก สรรพนาม คำหนึ่ง เป็นทำไทยแท้ เรียกว่า คอ วอ ยอ ซึ่งเป็นหลักการแสวงหาความรู้ สู่วิธีคิด มีวิสัยทัศน์กว้าง และมีจุดยืนที่มีความยืนหยัดชัดเจนในตัวตน โดยการรู้จักตนเอง ซึ่งสมัยก่อน ณ.ช่วงเวลานั้น ซึ่งแปลความมาจากนักวิชาการ ที่แปลความว่า คิด วิเคราะห์ แยกแยะ แต่ได้ถูกเอานำไปใช้ในหลักธรรม ภายใต้แนวคิดแบบ วิภัชชวาท ที่ใช้ใน หลักการคิดอย่างมีสติ วิเคราะห์ แยกแยะจำแนก สาร และ สิ่งที่เป็นข้อเท็จจริงของชีวิต และ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่างๆที่มีผลกระทบต่อตัวตนของเรา ให้เกิดทางออกด้วย แนวทางการคิด โยนิโส มนสิการ และมีการตั้งเวทีเสวนา เกิดขึ้น ด้วยความที่กระแสในคำนั้น เงียบหายไป จึงมีการคิดค้น หลักการที่จะโค้ชให้ คนที่อยากรู้จักตนเอง ในคุณค่าแห่งการยอมรับในสิ่งที่ตนเป็น จึงหยิบยกคำนี้ กลับมาใช้อีกครั้ง ด้วย คำว่า

           - Knowless Thinker
           - Vision
           - Yes sir! To Yet

      นั่นเอง และเป็นสูตร ของการโค้ชที่นำพา พลิกชีวิต ผู้คนได้รู้จักตนเองมากขึ้น และสามารถชัดเจนในตัวตนอีกขั้นหนึ่ง ซึ่งนำพาไปสู่ขั้น การสร้างสัมพันธ์ ปลุกพลัง และ ลงมือทำ และทำให้ชีวิตคุณไปต่อได้ จนกว่าจะได้พบกับความสำเร็จที่น่าทึ่ง และไม่เคยเจอมาก่อน นอกจากนี้

    ระบบ K.V.Y. System หรือ เรียกอีกในหนึ่งว่า

        Kor (ค) คือ Knowless thinker กระบวนแสวงหาความรู้ ด้วยวิธีคิด
        Vor (ว) คือ Vision สร้างวิสัยทัศน์
        Yor (ย) คือ Yes sir! To Yet การค้นพบชัดเจนในตัวตน

    ค.ว.ย ในสมัยก่อน อาจจะเป็น วาทศิลป์ ในสื่อสารที่ไม่สุภาพสำหรับคนส่วนใหญ่ที่ ทำการได้ยินกันมา เป็นคำด่าทอ บั่นทอน ต่อว่า ในสถานการณ์ที่ ไม่ได้ดั่งใจใครยิ่งนัก หรือใช้ในการมั่นไส้ด่าคนรอบข้างก็มี ทุกวันนี้ ยังใช้ในทางที่ไม่เหมาะสมเท่านั้นเอง แต่ในทางกลับกัน ก็มีการใช้คำนั้น ถูกเอามาใช้เป็นศัพท์เชิงวิชาการ โดยทั่วไปนั้น ค.ว.ย. แปลความว่า คิด วิเคราะห์ แยะแยก

        คำว่า ค ว ย มาได้ยังไง ซึ่งคำนี้ มักก่อให้เกิดปัญหาในสังคม แม้แต่นักการเมือง นักวิชาการ แม้แต่นักวิทยาศาสตร์เชิงจิตวิทยา ยังมีการถกเถียง แบบไม่จบไม่สิ้น ในขณะนั้นเอง และมีการประชุมหลายๆรอบ จนตั้งเวทีเสวนาเกิดขึ้น ทำให้สรุปได้ชัดว่า ค ว ย คือ หลักการคิด วิเคราะห์ แยกแยะ
       ในปี2552 ช่วงกลางปี ขณะเดียวกัน ก็มีการตั้งกระทู้ต่างๆ เกี่ยวกับเรื่อง ค.ว.ย. มีผู้เขียนท่านหนึ่ง ได้เล่าประสบการณ์เกี่ยวกับหลักการนี้ ซึ่งทำให้ที่ประชุม ตกตะลึงว่า คำสรรพนามสิ่งนี้ มีความเป็นไปได้ที่จะแปลเป็น ศาสตร์แห่งความรู้ได้ แต่ทว่า ก่อนหน้านั้น ได้นำเรื่องนั้น ออกมาทำเป็นเพลงอีกด้วย อาทิ
         เพลง ค ว ย ศิลปิน Cruel Pistol ที่ร่วมทีมกับ ดาจิม แร๊พไทย
         เพลง คิด วิเคราะห์ แยกแยะ ศิลปิน คุณเชษฐ์ สไมล์บัฟฟาโร่ ซึ่งปัจจุบันเป็นอาชีพ เกษตรกร

    ในขณะเดียวกัน ปี 2554 ช่วงกลางปี ค ว ย นอกเหนือจาก มีความหมายว่า คิด วิเคราะห์ แยกแยะ แล้ว ยังสื่อถึงความหมายอื่นที่ไม่คาดคิดอีกมากมาย ทำให้เกิดข้อสงสัยเกิดขึ้น ซึ่งมากจากเว็บไซด์ชื่อเว็บหนึ่ง หยิบหยกคำนี้มาตั้งกระทู้ อาทิ

          ค ว ย คือ คุณค่า วิตามิน ใยอาหาร
                         คอย เวลา เยื่อใย
                         คณะกรรมการวิจารณ์เพลงหยาบคาย
                         คิดถึง ไว้ใจ ยังรัก
                         คิดดี มีคุณภาพ วิสัยทัศน์กว้าง ยุติธรรม
                         คบหา วิวาห์ หย่าร้าง

   ซึ่ง มีหลายเว็บแปลความ จากคำนั้น ได้อย่างสร้างสรรค์ และทำให้ยอดขายบทความนั้นกระจายไปชั่วข้ามคืน แต่ยอดการค้นหา ก็ไม่สามารถเป็นกระแสได้อย่างตลอด เพราะคนส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจสิ่งนั้น และยังมองคำนั้นไปทางที่ ไม่เหมาะสมอยู่ดี ไม่แปลกที่ มีคนหลายกลุ่มที่มีความคิดเห็นที่ หลากหลาย ร้อยพ่อพันธุ์แม่ อยากให้วิเคราะห์เป็นสองแง่สองมุม

     และ ในปี 2557 ณ.ปีนั้น ได้มีการสรุปความ เกี่ยวกับ หลักการ ค ว ย อีกครั้ง ภายใต้แนวคิด ศาสตร์แห่งความรู้ของ วิภัชชวาท ซึ่ง แปลความว่า คิด วิเคราะห์ แยกแยะ เช่นเดียวกัน แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจ ในขณะเดียวกันคือ เขาใช้หลักการทางธรรมะ เข้ามาเติมเต็ม แนวคิดในคำนี้ ด้วยการ กระบวนการคิด ส่งผลต่อการวิเคราะห์ ก่อให้เกิดประมวล แยะแยก และจำแนก สาร หรือ เนื้อหา สิ่งที่เป็นข้อเท็จจริง ออกไป ด้วย หลักการคิดแบบ โยนิโส มนสิการ เป็นแหล่งอ้างอิง ซึ่งทำให้สังคมไทย เข้าใจส่วนหนึ่ง และ ทำให้บทความนี้ดังไปชั่วข้ามคืน แต่ยังไม่มีใคร หรือ โค้ชคนไหน ถูกเอาออกมาใช้สิ่งนั้นได้เลย

       ในขณะนี้ ได้ถูกใช้กลายเป็นศาสตร์การโค้ช ที่จะตั้งระบบ K.V.Y. System ภายใต้แนวคิด ของ
  โค้ชโจ Mirror Value Coach จะเกิดอะไรขึ้นต่อการนำเรื่องนี้สำหรับ ผู้ที่ต้องการพลิกชีวิตในการรู้จักตนเอง ด้วย ค.ว.ย. และใช้หลักการใดที่สามารถวัดค่าได้ ทำให้รู้จักตนเองให้ดีขึ้น อย่างไร

          วัตถุประสงค์ของ ศาสตร์การโค้ชด้วย K.V.Y. System Coaching
     1. แสวงหาความรู้ และเสริมวิธีคิดของตัวตนของเรา ให้อยู่ในเชิง ข้อเท็จจริงของชีวิต
     2. จัดการตนเอง โดยการวิเคราะห์ถึง วิสัยทัศน์ การมองไกล หรือ ภาพของตัวคุณ ที่ยืนอยู่ตรงนั้นเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ ให้ตนเอง
     3.หาความชัดเจนในตัวตน ถึง ความต้องการ ที่จะประสบความสำเร็จ ในแบบที่ควรจะเป็น ว่าอยากจะทำอะไรให้เป็นจริง ในชีวิต ทำให้มีความสุข 100%

    ดังนั้น K.V.Y. System หรือ ค ว ย ในศาสตร์แห่งการโค้ช แปลความนี้ว่า คิด วิเคราะห์ แยกแยะ แต่เรียกอีกในหนึ่งเป็น หลักการ คิด เห็น ชัด
           - หลักการแสวงหาความรู้ เสริมวิธีคิด เพื่อการพัฒนา
           - จับวิสัยทัศน์ ถึงตัวตน และปลุกศักยภาพ
           - ชัดเจนในตัวตน ถึงความต้องการที่แท้จริง ที่ยังคงทำสิ่งนั้น เป็นจริง
    
   สรุป  หลักการ คิด วิเคราะห์ แยกแยะ ได้เพิ่มอีกความหมายหนึ่ง ในศาสตร์แห่งการโค้ช ว่า
     แสวงหาความรู้ สู่วิธีคิด ที่วิสัยทัศน์ สู่ความชัดเจนในตัวตน K.V.Y. System จึงเป็นระบบที่ทำได้จริง และทำไปแล้ว ด้วยหลักการรู้จักตนเอง ในคุณค่าแห่งการยอมรับในสิ่งที่ตนเป็น อีกขั้นหนึ่ง ซึ่งระบบนี้สามารถ ใช้ในชีวิตประจำวันได้ ด้วยการวิเคราะห์ การหาทางแก้ และการใช้เวลากับตนเอง ได้